เรื่องการจับพลังในพระเครื่อง

จับพลัง...พระเครื่อง
จับพลัง...พระเครื่อง

ผมขอเขียนบันทึกไว้อ่านเอง ไม่ได้มีความต้องการจะชี้ชวนให้เชื่อเรื่องการจับพลัง เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้เป็นรูปธรรม เหมือนรูปทรงพระเครื่องที่เรารู้เราพิสูจน์ได้ ด้วยความเชื่อว่าพระเครื่องนั้นมีความเสื่อมได้ หรือการปลุกเสกที่ตรงกับฤกษ์บอดหรือที่หมายถึงฤกษ์ที่ปลุกเสกพระเครื่องไม่ขึ้น นั่นหมายถึงพระเครื่องไม่มีพลังแผ่มาคุ้มครองผู้ห้อยคอหรือติดตัวอยู่ เซียนใหญ่บางท่านนอกจากจะเช็คพระเครื่องว่าถูกต้องตามมาตรฐานการสะสมกันแล้ว ยังมีการไปขอผู้มีสมาธิจิตได้ตรวจสอบพลังอีกขั้นหนึ่ง เรียกว่า”แท้นอกและแท้ใน” .ผมเคยได้ฟังอาจารย์เอก ขอนแก่น ผู้รอบรู้เรื่องนี้ เพราะอาจารย์เอกเก็บข้อมูลจากข้อเขียนไว้มากและชื่นชอบข้อมูลเรื่องนี้ของอาจารย์ประถม อาจสาครมากเป็นพิเศษ อาจารย์เอกให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ว่า พระเครื่องที่มีการเสื่อมนั้น น่าจะเป็นพระเครื่องที่ปลุกเสกด้วยอาคมพลังเวทย์มนต์คาถา ซึ่งอาจารย์เอกอ่านเจอมาว่า…หลวงตาม้าเคยเปรยขึ้นว่า พระเครื่องที่ท่านสร้างนั้นไม่เสื่อมเพราะไม่ได้มีการตั้งธาตุหนุนธาตุ แต่เป็นการอาราธนาบารมีของพระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้า  การตั้งธาตุหนุนธาตุนั้นเป็นเบื้องต้นของการปลุกเสกด้วอาคมด้วยไสยเวทย์ จึงมีวันเสื่อมตามวันเวลา. การจับพลังนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ส่วนการพิสูจน์นั้นบอกได้ยาก แม้จะมีการถ่ายภาพออร่าออกมาเพื่อดูพลังงานที่แผ่จากพระเครื่อง ที่ผมจะเขียนบันทึกไว้นี้ เป็นการพูดสนทนาระหว่างผมกับอาจารย์ประพนธ์ ในช่วงบ่ายวันหนึ่งของเมื่อปีสองปีก่อน อาจารย์ประพนธ์นั้นมีข้อได้เปรียบกว่าผมอยู่ข้อหนึ่งคือ นอกจากอาจารย์ประพนธ์จะสนใจสะสมพระเครื่องด้วยการศึกษาพิมพ์ทรงและประวัติแล้ว อาจารย์ประพนธ์ยังปฏิบัติธรรมและมีสมาธิจิตสูงในระดับหนึ่ง อาจารย์เล่าให้ฟังหลายครั้งว่า เคยฝันถึงพระภิกษุผู้สร้างพระเครื่องมาบอกหลังจากได้ลองอธิษฐานขอพระ เพราะสุดปัญญาจะรู้ว่าพระเครื่องเป็นของสำนักไหน ใครสร้าง.บ่ายวันนั้นอาจารย์ประพนธ์ ได้เล่าให้ฟังถึงแม่ชีรูปหนึ่งที่มีสมาธิจิตสูง และมีเซียนพระนำพระเครื่องที่เช็คว่าพิมพ์ทรงแท้มาเช็คพลังด้านใน อาจารย์ประพนธ์ก็ได้นำพระเครื่องของอาจารย์ไปขอให้แม่ชีช่วยตรวจดู ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าอย่าได้เชื่อทังหมด อ่านแค่เพียงผ่านตาเท่านั้นก็พอครับ

อาจารย์ประพนธ์หยิบพระหลวงปู่โลกอุดรพิมพ์อรหันต์ก่อน แม่ชีก็บอกว่า”ดี ขอได้” จากนั้นก็หยิบสังกัจจายน์สามโค้ดหลวงปู่โต๊ะให้ แม่ชีก็บอกเพียงสั้นๆว่า” ดี ขอได้” .อาจารย์ประพนธ์จึงถามต่อว่า”แล้วต่างกันยังไง ขอได้เหมือนกัน” แม่ชีสูงวัยท่านนี้จึงได้อธิบายต่อว่า”พระสังกัจจายน์หลวงปู่โต๊ะนั้น เราขอท่านแต่ท่านจะพิจารณาดูก่อนว่าจะให้ดีไหม ส่วนพระหลวงปู่โลกอุดรท่านนั้น เราขออะไร ท่านให้หมด ไม่ต้องรอให้พิจารณา”.ผมฟังอาจารย์ประพนธ์แล้วนึกในใจแม่ชีท่านนี้จิตท่านลุ่มลึกมาก แยกแยะความแตกต่างกันได้ เหมือนกับแม่ชีท่านไปถามพระมาให้เลย

ต่อมาอาจารย์ประพนธ์หยิบพระเครื่องหลวงพ่อเกษม เขมโกให้แม่ชีก็บอกว่า”รังสีแผ่ออกมาคุ้มครองดี” จากนั้นอาจารย์ประพนธ์หยิบพระธาตุคำข้าว ครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม ลำพูนให้แม่ชีดูอีก แม่ชีก็พูดเกือบเหมือนเดิมส่า”รังสีแผ่ออกมาคุ้มครองดี” อาจารย์ประพนธ์จึงได้ถามต่ออีกว่า”แล้วต่างกันยังไง”.แม่ชีก็ได้อธิบายว่า”พระเครื่องหลวงพ่อเกษมนั้น ท่านยังมีช่วงพักรังสีคุ้มครองมีการลดระดับลงบ้างในบางช่วง แต่พระธาตุคำข้าวนั้นแผ่รังสีออกมาตลอดเวลา ไม่มีเวลาพัก คุ้มครองเต็มที่ตลอดเวลา”

มีพระเครื่องอีกหลายองค์ที่นำไปให้แม่ชีดู แต่ผมจำได้เท่านี้จริงๆ.ตัวผมเองเคยลองอธิษฐานขอชมบารมีพระเครื่องอยู่ครั้งหนึ่ง พอดีช่วงนั้นผมนั่งสามธิบ่อยๆ จิตนิ่ง จิตลงขั้นอุปจารสมาธิบ่อยๆ ผมได้นำพระพิมพ์ปิดปากเนื้อตะกั่วของหลวงพ่อละมัยมาใส่บนกลางฝ่ามือ พร้อมกับกำไว้ในมือยกจรดกลางหน้าผาก พูดในใจขอขมาต่อหลวงปู่ละมัย กล่าวขอชมบารมีพระเครื่องเพื่อเป็นกำลังใจและขอชมบารมีหลวงปู่ละมัย จากนั้นก็นั่งทำจิตเข้าสมาธิ พอใจลงสมาธินิ่ง ตกอุปจารปุ๊ป ขณะหลับตาอยู่ ผมรู้สึกว่าพระกลางฝ่ามือมีการขยับยุ๊กยิกเหมือนจะขยับในฝ่ามือตลอด ผมขนลุกซู่ค่อยๆถอนจิตออกสมาธิแล้วยกพระขึ้นท่วมหัว บอกหลวงปู่ว่ารู้แล้ว ขอหลวงปู่ให้เห็นบารมีอีกรอบ รอบนี้จะขอลืมตา จากนั้นผมก็ใช้การกำหนดลมหายใจแบบอาปานสติ พอสักพักหนึ่งใจรวมลงดิ่ง พระเครื่องก็เริ่มขัยบแต่ไม่เห็นชัดมาก แต่ความรู้สึกบนกลางฝ่ามือนั้น เหมือนครั้งแรกเลย รู้สึกพระขยับยุ๊กยิ๊กอยู่นาน จนผมพอใจก็กล่าวขอขมาหลวงปู่ละมัยอีกครั้งและบอกหลวงปู่ว่าผมจะไม่ทดสอบพระเครื่องหลวงปู่องค์นี้อีกแล้ว ขอชมบารมีครั้งนี้ก็เพียงพอแล้ว .ผมก็ไม่ได้ลองแบบนี้ทุกครัง เพราะถ้าใจไม่รวมจนเข้าอุปจารก็ขอชมบารมีแบบนี้ไม่ได้

ผมขอให้ทุกท่านอ่านเรื่องนี้เพียงผ่านตาเท่านั้นก็พอครับ เรื่องนี้ต้องฝึกจิตแล้วสัมผัสเองถึงจะรู้ ถึงจะร้อง…อ๋อเป็นอย่างนี้นี่เอง

Leave a comment