เมื่อหลวงปู่โต๊ะพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

 

อาจารย์มั่นกับอาตมาคุ้นเคยกัน แต่อาตมายังเป็นพระหนุ่มๆอยู่บอกเจ้าคุณอุบาลี วัดบรมนิวาสว่า เมื่อหลวงพ่องค์นี้ลงมา ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ผมจะมาฟังธรรมะธัมโมของท่าน ท่านก็รับ ท่านเป็นญาติกัน แล้วก็สั่งสมภารองค์ใหม่นี้ไว้ด้วย จะเป็นประโยชน์ พอเราเข้าไปกราบเท่านั้น เย็น ใจคอเย็น ทานโทษ เหมือนยังกับเข้าไปอยู่ในร่ม อากัปกิริยาเหมือนยังกะเราเข้าไปอยู่ในร่ม เย็น เย็นหู เย็นตา เย็นใจ ทั้งตัวเย็น เย็นไปหมด เพราะอะไร
การปฎิบัติสมถะกรรมฐาน มีอะไรเป็นหลัก
ท่านก็ว่ากรรมฐาน๔๐น่ะแหละ เลือกเอาตามพอใจเท่านั้นเอง
เลือกเอาตามพอใจ ก็หลายอย่าง หลวงพ่อหลายอย่าง
ท่านก็แนะว่า ทำตามจริตของเขาที่เข้าใจ ถ้าคนที่มีโทสะจริต ก็เจิรญพุทโธก็ได้ ท่านว่างั้น และเราก็ว่า พุทโธ ต้องประกอบกับลมด้วย ขอรับ
ท่านก็ว่า ต้องประกอบซี กรรมฐานน่ะ อานาปานะ เป็นยอดของกรรฐานนะคุณนะ อย่าปลดปล่อยนา
ครับ ไม่ปล่อย จะต้องทำยังไงขอรับ ถึงจะรู้ลมเข้าลมออก
ก็ตามรู้ลมเข้าลมออก ปัญญาเกิด
เมื่อภาวนาพุทโธ พุทโธแล้วพุทโธหายไป เราจะทำไง  ไม่มีหรอกพุทโธ ไม่ได้บริกรรมไม่มีอะไร ไม่มีเลย
ท่านว่า นั่นแหละลมละเอียดแล้ว ลมละเอียดแล้ว
ลมละเอียดแล้วจะต้องทำอะไรต่อไปอีก
ดูลม ดูลมให้ละเอียด  ถ้าละเอียด ละเอียดหนักๆขึ้น เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเราหายใจ นะคุณนะ ไม่รู้ว่าหายใจ หายใจเข้า หายใจยังไง เราไม่รู้เรื่อง
มีการเผลอไหมครับ
ท่านบอก ไม่เผลอ ต้องมีสติผูกจิตไว้ด้วย ท่านว่างั้น อะไรผ่าน จำ ท่านว่าให้จำ จำไว้ จำไว้
ถ้าหากมีโยก มีโคลง จะทำไงขอรับ มันไปข้างหน้ามั่ง
ท่านว่า ให้เฉย ที่จริงไม่ได้โยก ไม่ได้โคลงหรอก มันเป็นกิริยาของพระอรหันต์ มันเป็นกิริยาของท่าน มันแสดงให้เราเห็น ทีนี้ทำท่าจะเหาะ ฉันจะเหาะได้นา ถ้าทำไปเหาะได้นา ถ้าท่านทำไปเหาะได้นา เราทำไง  เราทำท่าจะเหาะนี่ เฉย เฉย เวลานั้นจะสว่างไม่ใช่เล่น สว่างไสวไปหมด ดูข้าง ดูเคียง ดูอะไรๆนั่นเขาเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส อย่าไปหลง อย่าไปหลง เราเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส ที่สว่างดับวูบ นั่นก็คือธรรมะคือวิปัสสนา นั่นคือวิปัสสนาปิดหมด จะสว่างไสว มันสว่างไสวปลอดภัยทุกอย่าง อย่าไปหลงเข้านะ อย่าไปหลง แต่ก็มีฤทธิ์นะ สว่างนั้นมีฤทธิ์ จะเป็นมดเป็นหมอเป็นอะไรต่ออะไร ทำได้ทั้งนั้น ทำได้
ก็ถามว่า ท่านทิ้งแล้วหรือยังขอรับ สมถะ
ไม่ได้ทิ้งละ มันเป็นบายขอที่…พระพุทธเจ้ายังทิ้งไม่ได้นี่คุณ อ่านหนังสือพบไหม ท่านว่างั้น
ก็ว่าพบ อ่านพบ
ทิ้งไม่ได้ มีฤทธิ์ มีเดชมัอะไรหลายๆอย่าง แต่ตถาคตน่ะไม่แสดง แสดงในสิ่งที่จำเป็น แล้วตถาคตยังห้ามสาวกอื่นๆว่า อย่าแสดง ยังห้าม ยังห้าม เลือกแสดง เลือกสิ่งที่จำเป็นละก็ทำได้ ที่จำเป็น เพราะฉะนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง…เอาละ หลักนี่ไม่ใช่หลักของพระพุทธเจ้านา เพราะว่าเขามีมาก่อนพระพุทธเจ้าหลายสิบองค์ มีพระพุทธเจ้าเกิดในโลกโลกก็เห็นว่าหลักของเขาดี ก็ทำ ก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็ทำด้วยหลักกรรมฐาน เป็นของโลกๆเขา แต่ก็ได้ประโยชน์ดี สุดเข้าก็เลยรวบรัดตัดความใช้ได้ ให้เห็นเข้าแท้จริงๆ มันก็เบื่อหน่ายได้
หลวงพ่อครับ วันหนึ่งทำกี่ครั้ง
นับไม่ถ้วน ท่านว่า นี่ฉันก็ทำ ท่านว่า นี่ฉันก็ทำสมถะ กายใจ…จิต จิต…ชอบกล คนเราน่ะ ต้องทำเรื่อยๆ ยืนในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์  นั่งในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์  นอนในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์  เป็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ไปหมด นี่ความหลุดพ้นเรียกว่า วิมุติ ครบบริบูรณ์
  ความชั่วหามีกับเราไม่ ด้วยอาศัยการปฎิบัติที่เราถือกุญแจลูกนี้ ไขเข้าไปกว่าจะถึงหลัก…นี่คือหลักการรัษาศีลในทายก ทายิกาที่มาประชุมที่นี้ พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ แม้ท่านจะนึกปรารถนาสิ่งใดสมความปรารถนา สุขทุกทิพาราตรีกาลนั้นสวัสดี
…มาจากฉบับเดียวกับเรื่องก่อนครับ…..นิตยสารฉบับเดียวกับบทความ ***มรดกชิ้นสุดท้ายของหลวงปู่โต๊ะ***

Leave a comment